
10 ข้อชวนคิด ก่อนจะพลิกชีวิต ลาออกจากงานประจำ มาทำเกษตร
เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นยุคที่การเกษตรฮอตฮิตติดลมบน กลายเป็นกระแสประมาณว่า “ลาออกจากงานประจำมาทำเกษตร แล้วมีรายรับหลักแสนหลักล้าน” จนทำให้ใครๆ ได้ฟังก็ตาลุกวาว ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากการที่มี “สื่อหลายหัวหลายช่องทางหันมาเล่นข่าว ทำเรื่องเกษตรกันมากจนกลายเป็นกระแสมาแรง” แต่สื่อเหล่านั้นมักนำเสนอเพียงจุดขายเรื่องรายได้ เพราะหวังขายเรื่องมากกว่าที่จะมานั่งรับผิดชอบชีวิตคนที่เสพสื่อตัวเอง โดยไม่นำเสนอให้รอบด้านทุกแง่มุม เกิดการหลงเชื่อและทำตามๆ กันไป ก็เขาว่าทำแล้วรวยรวยจึงอยากทำบ้าง เพราะพื้นฐานของมนุษย์นั้นไม่มีใครไม่อยากรวย ทุกคนอยากมีความเป็นอยู่แบบสุขสบาย พอเข้ามาทำเกษตรตามกระแสเพราะหวังรวย ก็จะเกิดอาการเคว้งคว้างเมื่อต้องมาเจอกับสารพัดปัญหาที่ตัวเองไม่มีความรอบรู้ ถ้าการเกษตรมันง่าย เกษตรกรไทยคงไม่เป็นหนี้กันจนหัวหงอกหรอกจะเกลอ การเกษตรนั้นไม่ง่าย แต่ถ้าใส่ใจ ขยัน มุมานะ อดทน ก็สามารถประสบความสุขสำเร็จได้โดยง่าย ๆ ได้เช่นกัน

10 ข้อชวนคิด ก่อนจะพลิกชีวิต ลาออกจากงานประจำ มาทำเกษตร
1. ใจต้องรัก
การจะทำกิจการงานใดๆ ให้สำเร็จต้องเริ่มจากใจรักที่จะทำงานนั้นๆ เพราะเมื่อไหร่ที่ใจรักก็จะดำเนินกิจการงานต่างๆ ได้ดี แม้ว่าเจอกับปัญหาอุปสรรคใดๆ จะไม่ท้อแท้ แพ้ไปง่ายๆ หากคิดไม่ออกว่าใจรักช่วยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ให้ลองนึกถึงเวลาที่เรารักใครสักคนแล้วเรายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กายใจเขามาครอบครองนั่นล่ะ การทำงานด้วยใจรักก็จำเป็นเช่นนั้นเลย
2. กายต้องทน
ไม่จำเป็นต้องบึกบึนเหมือนแรมโบ้ คนเหล็ก หรือ เข้าฟิตเนสสร้างซิกแพ็ค ก็ทำงานภาคเกษตรได้ ขอแค่มีสมรรถถภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมสู้แดด พร้อมใช้แรงงาน พร้อมพึ่งตัวเองเป็นหลัก เพราะการเพาะปลูกส่วนใหญ่เกิดขึ้นกลางแจ้ง ใต้แสงอาทิตย์แดงๆ ที่ร้อนแรงไปตามสภาพอากาศ บางขณะเวลาเราก็ต้องใช้ร่างกายในการเตรียมแปลง ขุดหลุมปลูก ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย พ่นยา เก็บเกี่ยว ไปจนถึงค้าขาย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้สบายเหมือนงานในห้องแอร์แน่ๆ และถ้าจะหวังมาทำตอนแก่ตัว่าหวั่นใจ แต่ถ้ามีทุนสูงพอจะว่าจ้างแรงงานก็ทำไป ไม่มีใครว่าอะไรสายเปย์ได้อยู่แล้ว
3. ทุนต้องมี
อยากเป็นนายตัวเองเงินทุนมันต้องมี เนื่องจากการเพาะปลูกในชีวิตจริงต้องใช้เวลาในการเติบโตเป็นหลัก วัน-เดือน – ปี ไม่ใช่หลักชั่วโมงเหมือนในเกมปลูกผัก สร้างฟาร์ม ที่เคยเล่นในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ สมัยยังเป็นหนุ่มสาวออฟฟิศ นอกจากนี้ยังต้องมีปัจจัยสำรอง ค่า ปุ๋ย ยา แรงงาน ฯลฯ ทั้งที่คุมได้และไม่ได้ ที่จะมาทำให้ผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับลดลง เอาแค่สภาพอากาศ ฝนแปด แดดสิบ ของเมืองไทย นี่ก็วุ่นวายพอให้พืชผลงุนงงกันได้แล้ว ดังนั้น อย่าไปคาดหวังพืชที่หว่านไป จนกว่าจะได้เงินมาไว้ในกระเป๋าเราจริงๆ เพราะพอผ่านฝน ฟ้า โรค แมลง มาได้ ก็ต้องมาเจอกับมนุษย์ที่เรียกตนว่า พ่อค้า-แม่ขาย กดราคากันไปอีก อีกทั้ง ระหว่างรอเก็บเกี่ยว ปากท้องเราก็ต้องดำเนินต่อไป เงินทุนในการนี้จึงไม่ได้หมายถึงที่กันเอาไว้ลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการมีชีวิตของเราและครอบครัวด้วย ไม่ว่าจะเป็น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอม ค่าอาหาร ค่า Iphone -11 ค่าท่องเที่ยว ค่าปล่อยโคโยตี้ ฯลฯ และหากไม่อยากเป็นหนี้แบ้งก์เขียวที่อุ้มชูภาคการเกษตรทั้งประเทศอยู่ แบบโงหัวไม่ขึ้น ก็อย่าได้ริเข้าไปใช้บริการเชียว เพราะเรานั้นรู้ไม่ทันกลเม็ด ในการปล่อยกู้แบบยอมเอาที่ทางไปค้ำประกัน แต่กลับได้เงินกู้มาต่ำกว่ายอดราคาประเมินที่ดิน ที่ทำให้นำไปใช้ลงทุนอะไรก็ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จำต้องเวียนวนมาขอกู้เพิ่ม ด้วยยอดเงินแบบขยักขย่อนที่เขายื่นให้ เพราะหวังจะได้ดอกเพิ่มพูนงอกเงยบนฉโนดที่ดินของเรานั่นเอง (อันนี้คนวงในเขาบอกมา)
4. มันสมองต้องคม
งานนี้ไม่ต้องเก่งระดับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ,สตีฟ จ๊อบ,สตีเฟน ฮอว์คิง หรือ คริสโตเฟอร์ ฮิราตะเพราะพวกเขาอัจฉริยะเกินไป ก็สามารถทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จได้ ขอแค่ให้เปิดใจลับสมองให้คม ในการศึกษาหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราทำ เพื่อเข้าสู่การเป็นผู้รู้ลึก รู้จริงในสิ่งที่ทำ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทาง kasetintrend.com เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือทำการเกษตร ล้วนแล้วมาจากคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางแบบรู้ลึก รู้จริง กันทั้งนั้น ส่วนประเภทรู้แบบฉาบฉวยก็ให้กันไปมองบรรพบุรุษเราในสายเกษตรที่เคยเป็นมานี่เลย ไม่ต้องไปมองหาอะไรไกลเกิน
5.ชอบการเข้าสังคม
ภาคการเกษตรวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่จะมาเดี่ยวแบบข้ามาคนเดียว มาเดี่ยวไมโครโฟนก็ไปรอด แบบพี่โน๊ต ของเรา อีกคงไม่มุ่ง หากใครมีนิสัยรักสันโดด เห็นทีงานนี้คงไม่เหมาะ เพราะการเกษตรจำเป็นต้องมีเครือข่าย ณ ที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเครือข่ายมือถือ 4G หรือ 10G ที่จะขึ้นโชว์บนหน้าจอมือถือแค่ช่วงโปรโมชั่นยังไม่หมดหรอกนะ แต่หมายถึง เครือข่ายของเกษตรกร ที่ต้องรวมกลุ่มก้อนผนึกกำลังกัน เพื่ออำนาจในการทำตลาด สร้างฐานลูกค้าทำราคาเอง ซึ่งยุคสมัยนี้ไม่ต้องไปบุกเบิกอะไรให้เหนื่อยใจเหมือนสมัยก่อน แค่เดินเข้าไปสมัครร่วมกลุ่ม กับ Young Smart Farmer จังหวัดที่ตนอยู่ ก็จะได้เจอคนหลากรุ่นหลายวัยให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือกันและกัน ต้องช่วยกันผลักดันให้กลุ่มเข้มแข็ง และอุทิศความรู้ให้เป็นสาธารณะประโยชน์ก็จะเข้มแข็งจากภายนอกสู่ภายนอก จะไปได้ยาวไกล เกิน 4.0 แน่นอน
6. หนี้ต้องเป็นศูนย์
ก่อนจะพลิกชีวิตจากการทำงานประจำมาเป็นเกษตรกร เรื่องหนี้สินนี่ต้องไม่มี หัวข้อนี้ไม่ต้องขยายความให้ยากหรือเยอะ เพราะจะซาบซึ้งใจกันดีอยู่แล้วว่า ชีวิตหนี้นั้นไม่ได้ไพเราะ เหมือนเพลงของพี่เสือ ธนพล เลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นหนี้แบบไหน ล้วนหนักหน่วงดวงใจด้วยกันทั้งสิ้น ที่ต้องมานั่งย้ำก็เพราะภาคการเกษตรนั้นกว่าจะได้เงินมาต้องรอเป็นรอบเป็นฤดูกาล หากปลูกพืชผัก ก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ปลูกพืชไร่ ก็ 4 – 6 เดือน ปลูก พืชผล ก็ 1-4 ปี แต่ปลูกดอกเบี้ยนี่มีผลให้เจ้าหนี้เก็บเกี่ยวเป็นรายวัน-รายเดือนกันเลยทีเดียว ดังนั้น ก่อนจะลาออกมาต้องเคลียร์หนี้ส่วนตัวแบบที่ต้องผ่อนชำระเป็นรายเดือน เช่น ค่าบ้าน ,ค่าผ่อนรถ,ค่าบัตรเครดิต และ อีกมากมายหลายค่า ให้เป็นศูนย์เสียก่อน จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ร้อนใจ แล้วมาสร้างหนี้ใหม่ที่แบ้งก์เขียว ซึ่งจะผ่อนส่งกันเป็นรายปีแทน….เอ้า!….ฮา…
7. ความคิดสร้างสรรค์ต้องเด่น
เคยไปเดินในงาน “เกษตรอินทรีย์” แห่งหนึ่ง แล้วอยากดื่มกาแฟมาก จึงเดินหาภายในงาน แต่ให้บังเอิญว่ามีกาแฟหลายแบรนด์หลายยี่ห้อมากมายระบุว่าเป็นกาแฟอินทรีย์ ภายในงาน จนมึนงงสับสน ชนิดที่อยากจะหันหน้าไปซบอเมซอน หรือ Star Buck ก็ดี หากเงินในกระเป๋าเอื้ออำนวย เพราะความที่เห็นแค่เพียงเปลือกนั้นเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนดีไม่ดี จะใช้จ่ายเงินแต่ละทีก็ต้องมีเหตุผล แต่ให้บังเอิญว่าโชคช่วยให้ไม่ต้องเสียเงินมากเกินไป เมื่อสายตาไปสะดุดกับ “กาแฟรักษ์ป่า” ที่มี story ads เกี่ยวกับการปลูกกาแฟแล้วช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร จึงตัดสินใจซื้อแบรนด์นี้ ด้วย รู้สึกถึงคุณค่าที่เราจะได้เสพเข้าไปมากเกินกว่าแค่กาแฟ …นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสินค้าของเราต้องมี story ads เพราะ story ads นั้นทำให้เกิดความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ และทำให้ตัวจนสินค้าของเราเด่นชัด ตลอดจนดึงดูดลูกค้าเข้ามาเอง ดังนั้น ถ้าหวังอยากรวยเพราะการเกษตร จึงควรมาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ และถ้าไม่อยากพังก็ไม่ควรมาทำเพราะเห็นเขาทำแล้วดี เห็นเขาทำแล้วรวย เพราะของดีที่เหมือนกันนั้นมีอยู่มาก และถ้ามีมากแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อการทำตลาดหรือราคา ดังตัวอย่างที่กล่าวมานั่นเลย
8. การตลาดต้องเป็น
อยากรวยต้องทำตลาดเป็น หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือต้องขายของที่มีเป็นด้วย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาผลิตกันอย่างเดียว โดยไม่สนใจแร้งกาที่คอยจับจ้องเข้ามาจิกกัดหาผลประโยชน์จากความเหน็ดเหนื่อยของเราเลย อยากเห็นกำไรต้องตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ด้วยความพิเศษเฉพาะของผลผลิตภาคการเกษตร โดยเฉพาะด้านการเพาะปลูกพืชที่มีฤดูกาลในการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และ ให้ผลผลิตแบบเจาะจง อย่างที่จะเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นด้วยอุปนิสัยของพืชชนิดนั้นๆ ฤดูกาล ปัจจัยเรื่องน้ำ ที่บางพื้นที่ต้องเพาะปลูกกันตามฝนที่มา แดดที่มี ทำให้ผลผลิตออกมากระจุกตัว แน่นอนว่ายอมกระทบต่อราคาที่จะขายได้ไปด้วย การนำตลาดมานำจะทำให้เราเลี่ยงระยะเวลาที่ผลผลิตนั้นจะออกพร้อมเพียงกันทั้งภาค หรือ เลือกเลี่ยงชนิดพืชปลูกที่มีความผันผวนด้านราคา รวมถึงสามารถนำผลผลิตที่มีมาต่อยอดแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มมูลค่าได้ ที่สำคัญคือ ต้องขายเป็น แม้การทำตลาดเอง จะทำให้ต้องเหนื่อยเพิ่ม แต่ก็ทำให้มีรายรับเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งยังจะเป็นที่ชวนจำในคุณภาพของสินค้าจากการสร้างแบรนด์ของเราเอง เมื่อลุกค้าต้องการจะซื้อซ้ำก็จะจำว่า “ทุเรียนสวนลุงหงวนนั้นมีดีอย่างไร” ไม่ใช่นึกถึงทุเรียนธรรมดาที่เห็นในตลาดทั่วไป
9. เปิดรับเทคโนโลยี
ถ้าไม่อยากกลายเป็น ไดโนเสาร์ในร่างมนุษย์ ก็ต้อง Active ตัวเอง ด้านเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีต่างๆ จะเข้ามาช่วยให้การทำงานภาคการเกษตรนั้นง่ายขึ้นไม่ว่าเป็นการเพียงแค่การใช้ Internet ติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือ Advance ไปจนถึงเรื่องการควบคุมโรงเรือนผ่าน Application,การใช้โดรนพ่นยา,การค้าขายบน Social Media ,การบันทึกข้อมูลต่างๆ ใน Computer ก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งเทคโนโลยีและปรับตัวไปตามโลก อย่าคิดว่าการเกษตรต้องล้าหลัง ทำไปเพียงลำพัง ไม่ต้องสนใจโลกเทคโนโลยี เหมือนครั้งที่ Admin เรียนเกษตรใหม่ๆ เมื่อ กว่า 10 ปีก่อนนี่ไม่กล้าแตะคอมพิวเตอร์กันเลยเชียว เพราะใช้ไม่คล่องมือ กลัวคอมจะงับหัวเอา แต่มาตอนนี้ไม่รู้อะไรก็ต้องเร่งเรียน เพราะกลัวจะไปคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง
10. ขยันดี มีวินัยและเป็นจอมวางแผน
ประเด็นนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพึงคำนึงถึง แม้จะทำตามได้ยากแต่ถ้าไม่อยากตกที่นั่งลำบากวินัยต้องมี โดยเฉพาะเรื่องการเอาใจใส่ในสิ่งที่ทำ ไม่ละเลยทิ้ง ขว้างแบบเฝ้าหวังให้เทวดาช่วยเลี้ยง ไม่ทำแผนงาน ไม่ทำบัญชี ระวังจะเหลือแต่หนี้ลูกเดียว เพราะต้นทุนการผลิตนั้นสูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นค่าปุ๋ย ยา แรงงาน อีกทั้งเชื้อโรคและแมลงต่างมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดกันมากขึ้น ทำให้กำจัดได้ยาก แต่แพร่ระบาดได้รวดเร็ว ลมฟ้าอากาศก็แปรปรวนสุดจะคาดเดา การขาดวินัยไม่เข้าสวนดูแลต้นไม้ นอนเกาพุงสบายๆ รอให้ต้นไม้ออกผลมาให้ ไม่ใส่ปุ๋ย บำรุงต้นตามจังหวะเวลา และไม่มีการวางแผนการทำงาน ไม่ทำให้เกิดการสร้างรายได้แบบรายวัน รายเดือน รายปี หรือ จัดสรรรายได้รายปี ให้พอมีอยู่กินได้ตลอดรอดฝั่งในปีถัดไป ก็มีแต่เจ๊งกับเป็นหนี้แบบหนีไปไหนไม่พ้น กันทั้งเพ จนสุดท้ายแล้วอาจจะต้องเทสวนให้แบ้งก์เขียวไป แล้วกลับมาเป็นลูกจ้างเขาอีกครั้งอย่างจำใจ .. ทีนี้จะไปโทษใครได้ เพราะเราทำตัวเราเอง.
ขอให้มนุษย์เงินเดือนทุกท่าน พบทางเลือก เจอทางรอด และไปได้ตลอดรอดฝั่งกับเส้นทางสายเกษตรกรรม ที่ไม่ได้เป็นเพียงตำราวิชาการ แต่เป็นตำนานที่มีชีวิต!
เรื่องโดย : kasetintrend.com
1 Comment
Great!!