
12 พืชทำเงินรายวัน ที่จะทำให้คนขยันมีเงินเข้ากระเป๋าได้ทุกวัน
พืชทำเงินรายวัน จะทำให้เกิดรายได้เพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้สบายๆ และเป็นสิ่งที่คนขยันเท่านั้น จะทำให้มันเกิดมีได้ เพราะการจะมีรายได้รายวันจากการเพาะปลูกพืช จะต้องมีการวางแผนที่ดี ขยัน ไม่ย่อท้อ ไม่นอนรอเพียงรายได้จากพืชหลักที่อาจต้องรอกันนานเป็นแรมเดือนหรือแรมปี
ซึ่งพืชที่ทำให้เกิดรายได้แบบรายวัน อาจไม่ได้มาพร้อมกับราคาต่อหน่วยสวยหรูเหมือนพืชหลัก แต่ถ้าปลูกควบคู่ไปกับพืชหลัก เช่น ปลูกเสริม ปลูกแซม,แยกแปลงปลูก หรือ จะแบ่งโซนปลูกเป็นแปลงใหญ่ไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก มีผลผลิตออกมาให้เก็บเกี่ยวกันเป็นราย 1 – 3 วัน หากปลูกสลับชนิดหลายอย่างเอา ก็มีหรือที่จะไม่มีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายจากน้ำพักน้ำแรงที่ลงไป ซึ่ง 12 พืชทำเงินรายวันที่จะทำให้คนขยันมีเงินเข้ากระเป๋าสบายๆ ทุกวัน ได้แก่
1. พริกขี้หนู,พริกขี้หนูสวน พืชทำเงินรายวัน
นิยมปลูกกันมากดังได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง ไม่ต้องปลูกผักอะไรที่แปลกพิศดาร เพราะนี่คือ 10 ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี การปลูกพริกใช้เวลา ดูแลจนรักษาประคบประหงมให้น้ำ,ปุ๋ย,ยา เป็นเวลา 60 – 110 (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ) ก็เก็บเกี่ยวยาวไปได้นาน กว่า 6 เดือน มีผลผลิตให้เก็บขายได้ทุกวันเพราะพริก 1 ต้นออกดอกคราวละหลายรุ่น เป็นไปตามธรรมชาติของพริกนั่นเอง ดังนั้นการปลูกให้ได้ผลผลิตดี ธาตุอาหารต้องถึงด้วย เพราะพริกขี้หนูนั้นลูกดกทุกสายพันธุ์ ในพื้นที่ 1 ไร่ จะเก็บผลผลิตได้วันละ 600-900 กิโลกรัมเลยทีเดียว ถ้าเลือกสายพันธุ์ดี รายรับก็ดีตามไปด้วย งานนี้ต่อให้พริกราคาตกกว่าต้นทุนการผลิตไปบ้าง ก็ยังจัดว่ามีรายรับต่อวันมากอยู่
2.ดาวเรือง
เป็นไม้ดอกยอดนิยมในการนำมาใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ ด้วยชื่ออันเป็นมงคลนาม จึงมีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น ดาวเรืองเป็นพืชทำเงินรายวันที่มีอายุในการปลูกสั้น ใช้เวลาปลูก 45-60 วันก็เก็บเกี่ยวดอกจำหน่ายได้ โดยจะเก็บดอกทุก 3 วัน ต่อไปอีก 35 – 40 วัน หรือ ประมาณ 20 -25 ครั้ง ตลอดอายุการเพาะปลูก 1 ต้นจะให้ดอกได้ประมาณ 10 – 20 ดอก ราคาดอกดาวเรืองที่เกษตรกรขายได้หน้าสวนจะอยู่ที่ดอกละ 0.25 สตางค์ – 1 บาท ตามเกรด A,B,C ในรอบ 1 ปี จะปลูกได้ 2-3 ครั้งในพื้นที่ดินเดิม เนื่องจากเป็นพืชที่มีโรค-แมลงมาก ทำให้ไม่สามารถปลูกในที่เดิมติดต่อกันได้ยาวนาน จำต้องพักดินเพื่อตัดวงจรศัตรูพืช
3.ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวเป็นพืชที่ตลาดต้องการและเป็นพืชทำเงินแบบรายวันที่มีราคาต่อหน่วยดี มีการเติบโตเร็ว จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวฝักทุกวัน มิเช่นนั้นฝักจะโตฟองเกินขนาความชอบใจของผู้บริโภค ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน ตามปริมาณที่ผลิตได้ ซึ่งถั่วฝักยาวจะเก็บได้เมื่อมีอายุได้ประมาณ 55 – 60 วัน จากนั้นจะต้องเก็บฝักทุกวัน เป็นระยะเวลา 1 – 2 เดือน โดยราคาถั่วฝักยาวที่เกษตรกรขายได้ อยู่ที่ 35 – 50 บาท และบางโอกาสอาจพุ่งได้ถึง 100 บาท/กก. หากช่วงนั้นเกิดสภาพอากาศแปรรปวนเช่น หนาวจัดหรือแล้งน้ำ
4.ถั่วพู
เป็นพืชอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจเพราะปลูกง่ายโตเร็ว ราคาดี และ มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้ทุก 1 – 2 วัน สามารถปลูกได้ตลอดปี ผู้คนนิยมบริโภครูปแบบของผักพ้นบ้านให้ประโยชน์ทางยา มีราคายืนพื้นที่ 30 – 40 บาท ในยามปกติ และจะมีราคาสูงขึ้นเป็น 200 – 250 บาท ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน หากช่วงไหนร้อนแล้งจัดราคาถั่วพูก็พุ่งขึ้นไปได้สูงถึง 400 บาท/กก. ปลูกเพียง 70 – 80 วัน เก็บผลผลิตจำหน่ายได้นานถึงิ 6 เดือน แล้วรื้อแปลงปลูกใหม่ในที่เดิมได้เลย โดยไม่ต้องพักดินเพราะไม่มีโรคแมลงศัตรูรบกวนมาก
5. แตงกวา
แตงกวาเป็นอีกพืชหนึ่งที่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้ทุกวัน ชนิดที่ห้ามปล่อยทิ้วไว้ข้ามคืนหรือเก็บแบบหลงหูหลงตตาโดยเด็ดขาด เพราะมีการเติบโตทางผลเร็ว หากทิ้งร้างห่างไปผลแตงที่ได้จะไม่สวย ใหญ่หรือแก่ไปไม่เป็นไปตามที่ตลาดต้องการ ซึ่งส่งผลทำให้ราคาตก นอกจากนี้แตงกวายังเป็นพืชที่ตลาดต้องการตลอดปี ดังที่กล่าวไว้ในเรื่อง ไม่ต้องปลูกผักอะไรที่แปลกพิศดาร เพราะนี่คือ 10 ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี
6. บวบ
เป็นอีกหนึ่งพืชผักทำเงินที่น่าสนใจ เพราะตลาดต้องการต่อเนื่อง ด้วยมีรสกหวานหวาน กรอบ อร่อย ในทุกเมนุ ไม่ว่าจะผัด จะอ่อม รสชาติก็ยังอร่อยคงเดิม แม้จะมีความยุ่งยากอยู่บ้างในการทำค้างแต่การทำค้าง 1 ครั้ง ก็ใช้งานได้หลายรอบการผลิต ปลูกำได้ทุกช่วงเวลาตลอดปี ให้ผลผลิตสูงช่วงเดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน ใช้เวลาในการเพาะปลูกจนเก็บเกี่ยว 38 – 50 วัน แล้วแต่สายพันธุ์ สามารถเก็บผลผลิตได้แบบวันเว้นวัน ต่อเนื่องไปอีก 40 – 60 วัน ราคาบวบทีเกษตรกรขายได้จากหน้าสวนเฉลี่ยคือ 12 – 16 บาท หากช่วงไหนมีภัยแล้ง หรือ บวบขาดตลาด ก็อาจมีราคาพุ่งเป็น 70 บาท/กก. ได้เช่นกัน
7.มะลิ
เป็นพืชที่ใช้เวลานานกว่าจะใช้ผลผลิต ทั้งยังมีต้นทุนมในการจัดการดุแลมาก แต่ก็เป้นพืชที่น่าเล่น เพราะมีราคาจูงใจ โยเฉพาะช่วงเทศกาลวันแม่หรือหน้าหนาว ราคามะลิที่เกษตรกรขายได้จากปกติเฉลี่ย กิโลกรัมละ 200 บาท ก็จะปรับพขึ้นไปเป็น 400 – 500 บาท หรือ ถ้าของขาดตลาดหนักกว่านั้นเกษตรกรจะทำเงินจากมะลิได้เป็นหลักพันต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งการปลูกมะลินั้นจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน กว่าจะเก็บผลผลิต แต่สามารถเลี้ยงไว้เพื่อสร้างเงินให้เกิดได้แบบรายวัน ได้ยาวนาต่อเนื่องไปอีก 2 – 3 ปี หรือ มากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการดูแลของเกษตรกร
8.กล้วยไม้ตัดดอก
ในที่นี้จะเป็นสกุลหวาย ซึ่งปลูกไว้เพื่อตัดดอกจำหน่าย อันเป็นไม้ดอกที่ตลาดต้องการตลอดกาล แม้ช่วงหลังๆ จะไม่บูม เหมือนเมื่อก่อนก็ตามแต่ก็เป็นพืชที่สามารถทำเงินรายวันให้ได้แบบระยะยาว ใช้เวลาในการปลูก ประมาณ 8 เดือน – 1 ปี จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ในราคาช่ละ 0.50 สตางค์ – 10 บาท หรือ มากกว่านี้ตามความต้องการของตลาด หากมีการดูแลดี ปลูกครั้งเดียวจะเก็บเกี่ยวไปได้นานอีก 4 – 5 ปี แต่ก็มีต้นทุนในการจัดการดูแลสูง เพราะมีค่าโรงเรือน และ ค่าปุ๋ยยาเข้ามาเกี่ยวข้องในการผลิตอยู่มาก
9.มะนาว
มะนาวเป็นพืชทำเงินอมตะตลอดกาลที่นอกจากตลาดจะเป้นไม้ผลที่ตลาดต้องการตลอดปีแล้วยังเป็นพืชทีทำเงิน สร้างรายได่้เป็นกอบเป็นกำ เพราะนับลูกขายกันลูกละ 2 -10 บาท หรือ 25 – 100 บาท/กก. ปลูกเพียง 7-8 เดือนก็สามารถเก็บผลจำหน่ายได้ ช่วงมีนาคม – เมษายน มะนาวจะมีราคาแพงสุด ระหว่างมะนาวให้ผลผลิตนั้นสามารถเก็บขายทำเงินได้ทุกวัน ใน 1 ปี หากไม่มีการทำรุ่นหรือบังคับดอกก็จะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้ตลอดปี และถ้าจัดการดูแลดีจะมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้นาน 5 – 7 ปีเลยทีเดียว
10.ผักกูด
ผักพื้นบ้านตระกูลเฟิร์น รสชาติกรุบกรอบหวานอร่อยอาจไม่เป็นที่รู้จักมากนักในเมืองใหญ่ แต่ตามต่างจังหวัดผักกูดกลับเป็นที่นิยม ทั้ง ต้ม ลวก ผัด ก็อร่อยลิ้น ใช้เวลาในการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 6 เดือน ปลูกครั้งหนึ่งเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี โรคแมลงไม่มีมากวนใจ ทำรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน ที่สำคัญคือยังมีพื้นที่ปลูกไม่มากแต่ความต้องการบริโภคนั้นเพิ่มขึ้นทุกวัน สำหรับราคาผักกูดที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 25 – 30 บาท/กก. หากทำตลาดเองจะทำราคาได้สูงถึง 40 – 50 บาท/กก.
11.มะเขือเปราะ
เป็นพืชที่ทำเงินให้ยาวนานก สร้างรายได้ให้เกิดมีทุกวัน เพราะเวลาในการปลูกเพียง 45 -60 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อนเองไปยาวนาน 6 – 12 เดือน(แล้วแต่พันธุ์และการดูแลรักษา) ด้านตลาดในนยามปกติ ราคามะเขือเปราะทีเกษตรกรจำหน่ายได้จะอยู่ที่ 12 – 15 บาท/กก. หรือ อาจตกลงมาที่กิโลกรัมละ 2 บาทในยามผลผลิตล้นและสูงมากถึง 20 บาท/กก. ในยามที่ขาดตลาด
12.ใบบัวบก
จากพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่นในการแก้ฟกช้ก หรือ ที่นำมาล้อเล่นกันว่า ทานใบบัวบกแล้วจะแก้ช้ำใจได้นั้น ได้กลายมาเป็นผักสดทานแกล้มอาหารรสจัดจ้าน เช่น ส้มตำ ลาบ น้ำตก ยำ และ อีก ฯลฯ ที่ขาดไปไม่ได้เสียแล้วในปัจจุบัน ด้วยรสชาติอร่อยเหนาะๆ บวกกับสรรพคุณเน้นๆ นั้นทำให้ใครๆ ต่างถวิลหาผักมากคุณประโยชน์อย่างใบบัวบก ที่ปลุกง่ายโรคแมลงไม่พบเข้าทำลาย ปลูกทิ้งไว้ครั้งเดียว มีให้เก็บเกี่ยวได้ยาวข้ามปี เพราะเมล็ดจะแตกตกเป็นต้นใหม่ที่เติบโตแตกเถากอต่อไป จึงไม่ต้องมานั่งรื้อแปลงทิ้งให้เหนื่อยแรง ซึ่งใบบัวบกที่เกษตรกรขายได้นั้นอยู่ที่ 30 บาท/กก.
บทสรุป
Concept ของพืชทำเงินรายวัน : ที่อยากฝากไว้ให้เป็นแนวทางสำหรับการคิดหาพืชมาปลูกสร้างรายได้แบบรายวันให้ครอยครัวหรือตัวเอง คือ พืชที่มีอายุต่อรอบการเพาะปลูกปานกลาง มีนิสัยในการทยอยให้ผลผลิตแบบไล่รุ่น เติบโตด้านผลเร็ว สามารถเติบโต – สุกแก่ได้ภายในข้ามคืนหรือใช้เวลาไม่นาน ซึ่งพืชที่ทำเงินรายวันนี้จะอยู่ในกลุ่มของพืชผักเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การจะปลูกพืชเหล่านี้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นสำคัญก็คือแหล่งน้ำต้องมีรองรับการเพาะปลุกได้ตลอดฤดูกาลนั่นเอง
เรียบเรียงโดย : Kasetintrend.com
——————————————
แหล่งอ้างอิง :
http://esc.agritech.doae.go.th