10 ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่พิศดาร

พริก ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี

ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี   นั้นมีอยู่มากมาย หากแต่อาจไม่ดูหวือหวาทั้งด้านรูปลักษณ์และราคาที่เกษตรกรขายได้หน้าสวน บางชนิดเราก็เห็นกันจนเจนตาจนดูว่าไม่น่าจะมีราคาค่างวดอะไรมากมาย จึงไม่อยากปลูกเหตุเพราะราคาไม่จูงใจ แต่หารู้ไม่ว่าผักเหล่านั้นล่ะคือตัวทำเงินชั้นเยี่ยม เพราะมีต้นทุนในการผลิตไม่มากและสามารถทำเงินได้เป็นหลักแสนหลักล้านกันมาแล้ว ด้วยการใช้วิธีคุมคุณภาพและขยายพื้นที่ปลูก งานนี้จึงกล้ากล่าวได้ว่า นี่คือ 10 ผักที่ตลาดต้องการตลอดปี แต่จะมีความดี โดดเด่นน่าเล่นประการใด อยู่ที่ดุลพินิจในการคิดและตัดสินใจของเจ้าตัวเองว่า พื้นที่เหมาะสมหรือไม่ ตลาดใกล้บ้านมีหรือเปล่า แรงงานเราทำไหวมั้ย ทุนที่มีอยู่เหมาะต่ออะไร หากตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็ลงมือทำได้เลย!!

1. พริกขี้หนู เป็นพืชผักที่มีความต้องการใช้ตลอดปี ตลาดไม่มีทางตัน แต่ราคาจะมีความผันผวนไปตามปริมาณผลผลิต เพราะเป็นพืชผัก Classic ที่ใคร ๆ ต่างนึกถึง ทั้งในแง่มุมของผู้บริโภคและผู้ผลิต ด้วยคนไทยมีวัฒนะธรรมในการทานอาหารรสจัดจ้าน เผ็ดร้อนนำ ไม่ว่าจะต้ม ยำ ทำแกง หรือ ผัดผัก ลวกจิ้ม ล้วนเพิ่มความอร่อยลิ้นด้วยพริกขี้หนูกันทั้งสิ้น เพราะมีเมนูอาหารจานเผ็ดร้อนหลากหลาย จึงทำให้พริกกลายเนพืชผักที่มีตลาดไม่เคยขาด การปลูกและดูแลรักษานั้นค่อนข้างสูง เพราะมีโรค-แมลศัตรูเข้าทำลายมาก ทั้งเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยแป้ง โรคกุ้งแห้ง สารพัน อีกทั้งยังมีเรื่องต้นทุนแรงงานเข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตมาก จากรายงานของ สศก. ระบุว่าพริกขี้นหนูมีต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ 20 บาท/กก. จึงเป็นผักที่มีต้นทุนสูง แต่ก็ใครๆ ก็อยากเสี่ยงเพราะความต้องการบริโภคและมีราคาจูงใจ เพราะคราคาที่จำหน่ายได้อยู่ในช่วง 18 – 120 บาท/กก. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ จังหวะเวลา ภัยธรรมชาติ และ รูปแบบการจำหน่ายเป็นพริกเขียว/พริกแดง/พริกแห้ง เพราะในช่วงที่ไม่ปกติ พริกขี้หนูธรรมดา ก็มีราคาพุ่งขึ้นมาเป็น 500 บาท/กก. ได้เช่นกัน จะเอาอะไรแน่นอนกับการตลาด

2. ถั่วงอก เป็นพืชผักที่มีรายงานว่า แค่เพียงเขตกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่มีผู้คนหนาแน่นของไทยเรา แบบยังไม่เหมารวมถึงหัวมุมเมืองต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ก็มีความต้องการบริโภคเฉลี่ยต่อวันสูงมากถึง 200 ตัน หรือ 200,000 กิโลกรัม (ข่าวสด,2559 https://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1471324216) แล้ว หากเหมารวมทั้งประเทศคาดว่าน่าจะเกิน 500 ตัน ซึ่งถั่วงอกนี่จัดว่าเป็นพืชผักที่มีความต้องการใช้สูงมาก โดยเฉพาะเมนู ก๋วยเตี๋ยว ผัดไท ขนมจีน อาหารจานเส้นทั้งหลายที่หาทานง่ายและกระจายตัวตามตรอกซอกซอยทั่วทุกหัวมุมเมือง จัดว่าเป็นพืชผักที่ใช้พื้นที่ผลิตไม่มาก ใช้เวลาไม่นาน 3-4 วันก็ได้เงินเข้ากรกะเป๋าตุงแล้ว ด้วยราคาที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ประมาณ 10 – 20 บาทต่อกิโลกรัม จึงมีแรงจูงใจให้น่าลองทำ แต่อย่าลืมว่าไม่ได้มีแค่เราเพียงคนเดียวที่ผลิตได้ งานนี้ควรหาตลาดไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทำ เพราะเป็นพืชที่เน่าเสียได้ง่าย มีระยะเวลาในการเก็บรักษาสั้น

3.กะเพรา เมนูสิ้นคิดที่ช่วยชีวิตพนักงานออฟฟิศทั้งประเทศมาหลายยุคสมัยแล้ว คงหนีไม่พ้นผัดกะเพรา จะราดข้าวหรือจัดมาเป็นด้วยแกง ก็อร่อยอิ่มได้ทุกคราไป ทั้งยังปลูกง่ายไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวนมาก ใช้เวลาเพาะปลูกประมาณ 1 เดือนก็ตัดขายจำหน่ายส่งตลาดหรือโรงงานได้แล้ว มีรอบการให้ผลผลิตหรือแตกใบอ่อนประมาณ 15 วัน เก็บขายได้นาน 6 – 7 เดือน หากวางแผนปลูกแบบให้มีผลผลิตทุกสัปดาห์  จะทำให้มีรายได้เข้ามาแบบชรายสัปดาห์ พืชนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่มากเงินทุนน้อย หรือพื้นที่น้อยเงินทุนน้อยก็ทำได้เช่นกัน การปลูกกระเพาที่ลงทุนหลักแสน แล้วทำรายรับหลักล้านนั้นทำได้ไม่ยาก หากหาตลาดผูกขาด เช่น ปลูกส่ง ซีพี มีตลาดวิ่งส่งของ ที่แน่นอนแล้ววางแผนการผลิตได้รอบครอบก็รวยจากพืชธรรมดาจากกระพเพานี้ได้สบาย โดยมีราคาที่เกษตรกรจำหน่ายได้อยู่ที่ 30 บาท / กก.

3.ข่า,ตะไคร้ ไม่ได้ฮอตฮิตในหมู่เมนูอาหารประเภท ต้มยำเท่านั้น หากแต่ยังเป็นเครื่องชูรสหลักของพริกแกงต่างๆ ในอาหารไทยหลายชนิดด้วย จัดเป็นเครื่องเทศหลักในการปรุงแต่งรสอาหารตามสไตล์ไทยบ้านที่จะขาดไปไม่ได้เลยเชียว ดังนั้น ไม่ต้องไปไตร่ตรองอะไรให้มากความ หากมีที่ทางพอที่จะปักตะไคร้ ขยายข่า ปลูกมะกรูดได้ก็จงลงมือเถิด เพราะจักบังเกิดผลดีแน่นอน โดยข่า ตะไคร้นั้นปลูกง่ายต้นทุนในการจัดการดูแลไม่สูง เพราะโรคแมลงไม่ค่อยมี ราคาตะไคร้ที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ที่ 7 – 20 บาท/กก.(สด) และ 14 – 20 บาท/กก.(แห้ง) ส่วนราคาข่าที่เกษตรกรจำหน่ายได้ จะอยู่ที่ 30-35 บาท/กก. (ข่าอ่อน/เก็บเกี่ยวที่อายุ 6 เดือน) และ 10 – 15 บาท/กก.(ข่าแก่/เก็บเกี่ยวที่ 8 เดือน)

ข่า พืชผักที่ตลาดต้องการตลอดปี

5.ใบ(ลูก)มะกรูด  : สมุนไพรต้นเครื่องแกงในอาหารไทย ถูกนำมาใช้ในส่วนผสมของพริกแกง และต้มยำต่างๆ หลายเมนูนอกจากนี้ยังมีการนำไปปรุงรสในขนมขบเคี้ยว ทำแชมพูสมุนไพร ตลอดจนงานสปาต่างๆ มะกรูด จึงเป็นพืชที่คนไทยชนบทนนิยมปลูกติดบ้านไว้เพราะเป็พืชที่อยู่คู่กับวีชีวิตของคนไทยมาช้านาน และเป็นสมุนไพรที่มีติดตลาดเป็นประจำ ไม่ว่าตลาดจะใหญ่หรือเล็กขนาดไหนก็มีใบและลูกมะกรูดจำหน่าย นอกจากนี้ยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีการส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศที่อเมริกา,ออสเตรเลีย ในรูปใบสดแช่แข็งและใบอบแห้งส่งไปญี่ปุ่น ส่วนในประเทศนั้นมีความต้องการใช้ในรูปใบอบแห้งส่งโรงงาน  ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 100 บาท/กก.  และใบสดติดก้านยาว 20 ซม. ราคาฃจะขึ้นลงตามฤดูกาล เช่น หน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว ราคาขายจึงขึ้นลงเฉลี่ย อยู่ที่ 25 – 80 บาท/กก. โดยฤดูหนาวจะมีราคาสูงสุด ตลาดใบมะกรูดนั้นกว้างขวางกว่าที่เราคิด เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่ความต้องการใช้ยังเหมือนเดิม ในการปลูกมะกรูดตัดใบขายนั้นสามารถปลูกในระยะชิดได้ จึงใช้พื้นที่ไม่มาก หากแต่มีโรคแมลงศัตรูพืชเยอะ จึงมีค่าใช้จ่ายในการจัดการดูแลสูงไม่ต่างไปจากพืชตระกูลส้ม

6.ผักชี – ต้นหอม : หรือผักโรยหน้าในเมนูอาหารทั้งไทยและอาหารฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด สปาเก็ตตี้ ซุปต่างๆ เพื่อเพิมความหอมหวานชวนทาน จัดว่าเป็นผักโรยเหน้าที่ช่วยปรับลุ้ค อาหารให้ดูดี ดึงดูดน้ำลายคนทาน มีความต้องการใช้ตลอดปี แต่ปลูกให้ผลผลิตได้ไม่ดีทุกฤดูกาล โดยเฉพาะฤดูฝนจะพบโรค-แมลงเข้าทำลายมาก เป็นผักที่มีต้นทุนในการผลิตสูง ซ้ำยังปลูกในที่เดิมได้ไม่เกิน 2 ครั้ง เพราะมีปัญหาสะสมเรื่องโรคากเน่า ผักชีจะใช้เวลา 50-60 วัน ในการเพาะปลูก-เก็บเกี่ยว มีราคาผันผวนง่ายราคาพุ่งสูงได้ถึง 150 – 250 บาท ในช่วงฤดูฝนที่รักษาดูแลยาก หรือในช่วงวิกฤติภัยแล้งก็อาจมีราคาพุ่งได้ถึง 500 บาท/กก. และราคาลงต่ำสุดได้ถึง 10 – 15 บาท/กก.ได้เช่นกันเพราะหากช่วงไหนราคาดี ก็จะมีการแห่ปลูกตามกันมาก ส่งผลให้ราคาตกต่ำลง เพราะยังจัดว่าเป็นผักน่าเล่น เนื่องจากการไม่สามารถผลิตซ้ำที่ได้ และฤดูกาลที่ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ดีเป็นตัวท้าทาย หากจับจังหวะได้ก็รับทรัพย์เป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน ปัจจุบันเริ่มมีการส่งออกผักชีไทยไปญี่ปุ่น จากความนิยมหันมาบริโภคเพื่อสุขภาพ เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า ผักชีไทยมีส่วนช่วยให้ระบายท้อง ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ ยิ่งทำให้ผักชีเป็นพืชที่น่าจับมาปลูกยิ่งนัก ส่วนต้นหอมหรือหอมต้นนั้นก็มีราคาดีไม่แพ้ผักชีเช่นกัน โดยจะใช้เวลาปลูก 40-45 วันในหน้าร้อนมีราคาแพงสุด ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 100-150 บาท/กก. หน้าฝน 50-60 บาท/กก. ส่วนหน้าหนาวนั้นมีราคาต่ำสุด คือ 5-10 บาท/กก. เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเติบโต โรคแมลงม่ค่อยมีมาก

เห็ดโคนญี่ปุ่น

7.แตงกวา : ผักเคียงอาหารจานหลักที่ทานได้กับทุกเมนูช่วยคลายเผ็ดร้อน ดับรสจัดจ้าน ทานเป็นผักสดทั้งจานทอด ปิ้ง ย่าง อบ ล้วนต้องใช้แตงกวาแกล้มแก้เลี่ยน เพิ่มความสดชื่นทั้งนั้น แตงกวาจึงไม่เคยขาดตลาด ด้วยผู้คนนิยมทานตลอดปี  ปลูกเพียง 30 – 40 ก็มีผลผลิตให้เก็บจำหนายได้แล้ว ในการปลูก 1 ครั้ง จะเก็บเกี่ยวได้ทุกวัน นานเกิน

1 เดือน จึงเป็นพืชที่ทำเงินแบบรายวัน จะปลูกหลังนาหรือปลูกเป็นพืชเสริมรายได้ก็ทำเงินเข้ากระเป๋าได้ไม่ยาก หากแต่มีเรื่องของโรคแมลงเข้าทำลาย ต้องใช้การจัดการมาก ถ้าปลูกในช่วงที่มีวันสั้น หรือช่วงที่มีกลางวันมีระยะเวลาเกิดแดดสั้นอย่าง ความเข้มแสงและอุณหภูมิต่ำ อย่างในฤดูหนาวจะเกิดดอกตัวเมียมาก หากปลูกในช่วงวันยาวหรือในสภาพภูมิอากาศของฤดูร้อน แตงกวาจะเกิดดอกตัวผู้มากกว่าตัวเมีย  ดังนั้นในการปลูกแตงกวาจะต้องมีการวางแผนการปลูกให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังต้องช่วยผสมเกสรด้วยจึงจะติดลูกดี แม้การปลูกแตงกวาในหน้าร้อน-แล้ง จะมีโรคแมลงศัตรูพืชมาก ทั้งราน้ำค้าง ราแป้ง เพลี้ยไฟ และ ไวรัส แต่กลับมีราคาจำหน่ายสูง ราคาในช่วงนี้จะตกที่กิโลกรัมละ 13 -16 บาท สำหรับต้นทุนในการผลิตจะอยู่ที่ประมาณ  7 – 8 บาท/กก.

8.ผักบุ้งจีน : ผักบุ้งเป็นผักทานง่ายประกอบอาหารได้หลายเมนู ที่นิยมสุดก็จะเป็นตามร้านก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง ที่เป็นหน่วยบริโภคหลัก ทำให้ผักบุ้งกลายเป็นผักที่ตลาดต้องการตลอดปี นอกจากการบริโภคภายในประเทศแล้วยังมีการส่งออก การปลูกผักบุ้งจีนก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก โรคแมลงไม่ค่อยมี ปลูกง่าย เติบโตดีในหน้าฝน ใช้เวลาในการปลูกสั้นมาก เพียง

20 – 25 วันก็เก็บจำหน่ายได้แล้ว  สนนราคาขายอยู่ที่ 10 – 15 บาท หรือ บางช่วงจังหวะอาจต่ำกว่า 10 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิต หากปลูกแนวอินทรีย์ แบบจับกลุ่มทำตลาดส่งเองจะทำราคาไดสูงถึงกิโลกรัมละ 20 บาทเลยทีเดียว ทั้งยังเนพืชผักที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุดอีกด้วย

9.เห็ดนางรม-นางฟ้า,เห็ดฟาง : ต้องขอออกตัวก่อนว่า เห็ดไม่ใช่พืชผัก หากแต่จัดเป็นพืชผักตามการนำไปบริโภค ซึ่งเห็ดทั้ง 3 ชนิดนี้ ทนอกจากจะทาทนแล้วได้ประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว ยังนำไปต้ม ผัด แกง ทอด ได้อร่อยยิ่งนัก ตลาดจึงเป็นผักที่ตลาดต้องการตลอดปี อีกทั้งยังมีเพาะเลี้ยงได้ไม่ยาก โรคและศัตรูก็มีไม่มาก เช่น  ราส้ม,ไรไข่ปลา,แมลงหวี่ หากแต่ถ้ามีการจัดการโรงเรือนเพาะเห็ดได้ดี ก็แทบจะไม่พบว่ามีศัตรูเข้ารบกวนเลย โดย เห็ดนางรมนางฟ้า นั้นสามารถเพาะปลูกได้ดีตลอดปี ใช้เวลาในการเพาะตั้งแต่เขี่ยเชื้อ-เปิดดอกและเก็บเกี่ยว ประมาณ 30 – 45 วัน มีราคาจำหน่ายปกติอยู่ที่ 50-60 บาท/กก.  หากผลผลิตออกช่วงฤดูฝนหรือราวเดือน มิ.ย.-ส.ค. ราคาจะตกลงมาอยู่ที่ 40-45 บาท ในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศร้อนจัด ซึ่งมีผลต่อการออกกดอกของเห็ดนางรม-นางฟ้าราคาจะขึ้นมาเป็น 80-100 บาท/กก.

เก็บเกี่ยวได้ 3 – 4 ครั้ง/รอบการผลิต ส่วนเห็ดฟางนั้นจะมีราคาขายอยู่ที่ 50 – 100 บาท/กก. และจะมีราคาดีมากในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตมีน้อยอากาศหนาวเย็นเห็ดจึงไม่ค่อยออกดอก ในฤดูหนาวหากทำดอกเห็ดฟางได้ จะขายได้สูงถึง อาจแตะ  150 – 180 บาทเลยทีเดียว

10.คะน้า-กวางตุ้ง-กะหล่ำปลี-ผักกาดขาว : ในบรรดาพืชผักตระกูลกะหล่ำ คะน้า กวางตุ้ง กะหล่ำปลี และ ผักกาดขาว เป็นพืชที่ได้รับความนิยมมาก ในการนำไปประกอบอาหารเมนูผัด ต้ม ลวก จิ้ม กลุ่มเป้าหมานที่นิยมมากก็คือร้านหมูกระทะ ปิ้ง ย่าง ทั่วประเทศ เป็นพืชชอบสะเทิ้นร้อนสะเทิ้นหนาว แม้จะมีสายพันธุ์เบาที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นทนสภาพอากาศร้อนได้ดี จึงปลูกได้หลายพื้นที่ทั่วประเทศก็ตาม แต่ด้วยอย่างไรวิสัยของบรรพบุรุษนั้นเป็นพืชเมืองหนาวมาก่อนการปลูกจึงให้ผลดีในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะให้ผลผลิตดีมาก การวางแผนเพาะปลูก หากทำได้ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลผลิตออกในช่วงนั้น เพราะนอกจากจะราคาตกต่ำเพราะผลผลิตในประเทศมีมากแล้ว ยังมีผลผลิตจากจีนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอีกมากจากการเปิดเขตการค้าเสรี ทำให้ผลผลิตของไทยสู้จีนไม่ได้เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดการถูกกว่า ก่อนลงมือปลูกควรศึกษาลู่ทางการตลาดให้ดี เนื่องจากพืชกลุ่มนี้มีต้นทุนการจัดการมาก จากปัญหาโรคแมลงศัตรูพืชที่มีมากมายหลายชนิด

เรื่องโดย : kasetintrend.com

—————— ^ ^ ——————-

แหล่งอ้างอิง :